ประเทศนี้เป็นประเทศแรกๆที่คิดอยากจะมาตั้งนานแล้ว เพราะเห็นภาพที่ติดฝาบ้านอยู่ที่Hawa Mahal ตั้งแต่เด็กๆ แต่หาคนไปด้วยกันได้ยากมาก เพื่อนบางคนเน้นเลห์อยากไปเห็นธรรมชาติ แต่ด้วยความที่เราอยากเห็นความอินเดีย ก็ยังไม่มีใครอยากไปด้วย จะไปคนเดียวก็จะห้าวไปมั้ย จนปีนี้ก็ได้หลอกล่อเพื่อนมาได้ 2 คน ขายมันอย่างเดียว “เที่ยวต่างประเทศราคาถูก และสัญญาเมิงไม่ได้เจออะไรแบบในกรุงเทพแน่นอน เชื่อกู” จนทำให้เพื่อนคนนึงในทริปต้องลาออกจากงานเพื่อทริปนี้เลยทีเดียว 555
หลังจากหาตี้ได้แล้ว ก็หาตั๋วเลยจ้า โดยที่รูทการเดินทางของเราจะเริ่มจากทางฝั่งตะวันออก เมือง Kolkata ไปทางตะวันตก เมืองNew Delhi ใช้เวลาทั้งหมด 9 วัน 6 เมือง (นี่ไงทำไมเพื่อนต้องลาออก…)
จึงหาไฟลท์บินไปลง Kolkata และ กลับไทยจาก New Delhi ซึ่งสายการบินที่ราคาน่ารักสุดก็คือ Spicejet airlines ฟรีกระเป๋า 20 โล ทั้งหมดนี้เราซื้อก่อนไปเดือนนึงก่อนเดินทางเท่านั้น
จริงๆแล้วการไปอินเดียในความคิดเราควรเตรียมตัวอย่างน้อยก่อนออกเดินทางสัก 2 เดือน แต่นะ…อะไรว่ะ ซื้อตั๋วเดือนมีนา เดือนเมษาเมิงจะไปแบบนี้จะได้หรอ… ตอบเลยว่าได้ แต่ก็จะวุ่นๆนิดนึง สำหรับมนุษย์เงินเดือนอย่างเรา
การเตรียมตัว
1.วีซ่า!!!!!
วีซ่าอินเดียเดี๋ยวนี้เค้ามีออนไลน์แล้ว สมัครง่ายจ่ายเงินจบจ้า วิธีตามลิ้งค์นี้เลย
https://pantip.com/topic/34229226
กราบขอบพระคุณ อย่าลืมปริ้นไปด้วยนะ พวกเราก็จ้า ไปปริ้นก็ที่สุววรณภูมิล่ะ จะบ้าตายจะบินอยู่แล้ว ไม่มีวีซ่า 55555
ตัววีซ่านี้จะอยู่ได้ 60 วัน เป็น two entry ด้วย ภายใน 60 วันนับตั้งแต่วันที่เข้าครั้งแรก จะเข้าอีกครั้งก็ได้นะจ้ะ ถ้าว่างก็มาเล้ยยยย
2.รถไฟ!!!!!
เนื่องจากการเดินทางหลักๆในประเทศน่ารักแห่งนี้ เป็นรถไฟ (โกหกกันทั้งนั้น) แต่ไปถึงทั้งทีก็ต้องลอง เดี๋ยวจะมาไม่ถึง แต่จริงๆพวกเราก็ใช้รถไฟเป็นการเดินทางหลัก เพราะไม่รู้ว่ารถบัสประเทศนี้ มันก็ดีนะเออ ถ้าจะต้องขึ้นรถไฟจากคำบอกเล่า เราควรจะจองล่วงหน้า 1-2 เดือน จะมาจองก่อนไป 1-2 วีคไม่ได้ (ถ้าอยากจะนั่ง คลาสดี แอร์เย็นกับผู้ดีอินเดีย) เพราะมันเต็มไปนานแล้วววว ด้วยความยุ่งอย่างมนุษย์เงินเดือนที่จะลางานไป จึงมาเช็คก่อนไปแค่วีคเดียวเท่านั้นล่ะ ผลที่ออกมาเต็มจริงๆด้วย อย่างที่ใครๆเขาเล่ามาเลย จองได้แต่ร้อนๆเท่านั้นแหละ ซึ่งพวกเราก็วาดภาพไว้ในหัวล่ะ “เมิงงงงง เราต้องเกาะหลังคาเหมือนอย่างที่ดูในสารคดีป่ะว่ะ….” ใครจะไปรู้ล่ะ ยังไม่เคยไปเหมือนกัน 5555 แล้วทำไงต่อล่ะ?!!
เราก็เสริชเลย
“How to buy train tickets at railway stations in India”
ประเทศนี้ซื้อตั๋วรถไฟก็ไม่ง่ายเหมือนไปซื้อเหมือนที่หัวลำโพงบ้านเราอีก หากเป็นต่างชาติ ต้องไปซื้อสถานีที่เป็น Foreign Tourist Bureau Office เท่านั้น ยูจะไปซื้อที่อื่นไม่ได้นะ ซึ่งโชคดีที่ Kolkata มี
เมืองที่มี Foreign Tourist Bureau Office เช็คได้ตามลิ้งค์นี้เลย
http://www.indianrail.gov.in/international_Tourist.html
ซึ่งแต่ละขบวนจะมีโควต้าที่นั่งให้นักท่องเที่ยวต่างชาติด้วยที่มาจองแบบวอล์คอินแบบเรา(แต่คลาสดีๆก็ไม่เคยจะเหลือหรอก)
ก่อนไปจองเราแนะนำให้หาขบวนที่อยากไปในเว็บ http://www.cleartrip.com/trains ก่อน พอไปถึงจะได้แค่โชว์เค้า มันจะเร็วขึ้นเยอะมากกก
3.โรงแรม
จริงๆแต่ละเมืองที่เราไปก็เมืองท่องเที่ยวอยู่แล้ว โรงแรมก็เยอะนะ แต่ถ้าใครอยากเดินหาเป็นแบคแพคที่ข้าวสารก็ตามใจ แต่เราไม่! เพราะเราขอจองโรงแรมไปก่อน ผ่านเว็บที่ให้เราไปจ่ายที่โรงแรมได้ แต่จริงๆเราก็จองที่ไทยเฉพาะที่ พาราณาสี เท่านั้นล่ะ ทำไมน่ะหรอ ก็รถไฟมันจะดีเลย์หรือแคนเซิลเราตอนไหน ไม่มีใครรู้หรอก ประเทศนี้อะไรอะไรก็เกิดขึ้นได้นะจ้ะ
4.ข้าวของ เครื่องใช้ แลกเงิน
ข้อนี้จะมาเตรียมก่อนบินคืนนั้นไม่ได้นะ ด้วยความที่เป็นคนที่พยายามลองกินอาหารอินเดียหลายรอบก็ไม่ได้สักที และนี่จะไปอยู่ 9 วัน ผอมแย่ เลยเตรียมปลากระป๋อง ผงโรยข้าวญี่ปุ่น(งงล่ะสิ) ขนม ยาสามัญประจำบ้าน,ปลั๊กหัวกลม 2 ขา,เสื้อผ้า ซึ่งช่วงที่เราไปอากาศร้อน บางวันอากาศก็อาจจะ40°C++ เอาเสื้อผ้าใส่สบายๆไปดีกว่า แต่คุณผู้หญิงควรใส่ขายาวนะคะ ประเทศนี้ไม่ได้อันตราย แต่ใส่ขายาวไว้ก่อนดีกว่านะ เงินอินเดียแลกก่อนไปก็ดีนะ ประเทศนี้ป็อป เงินชอบหมดนะจ้ะจะบอกให้ และสุดท้าย Sim 2 Fly ใช้ที่อินเดียได้จริงๆนะจ้ะ แต่…บนรถไฟบางครั้งก็ติดๆดับ แต่ใช้สำหรับเสริชหาข้อมูลระหว่างทางอะไรงี้ได้อยู่
เตรียมตัวแล้วก็ไปกันเห้อะ ไปอินเดียกันนนนนนนน
วันที่ 1 Kolkata กับ Rickshaw สีเหลือง
เราสามคนนัดกันที่สุวรรณภูมิตอนสี่ทุ่ม เพราะไหนๆเครื่องก็ออกตี 5 ล่ะ ไม่ต้องนอนมันแล้ววววว โดยที่เราไม่ได้คิดกันเลย…อีก 2 วันหลังจากนี้เราถึงจะได้เช็คอินโรงแรมนะ 55555 แปลว่าเราจะไม่ได้อาบน้ำกัน 2 คืนเลยนะ แต่จริงๆซึ่งดีแล้วล่ะที่เรามาอยู่สนามบินกันทั้งคืน เพราะเราใช้เวลาเช็คอินก็ชั่วโมงกว่าล่ะ คือแถวยาวมาก คนอินเดียกลับบ้านเยอะมากจ้า เราใช้เวลาบินแค่ 2 ชั่วโมง ก็ไปถึง Kolkata คือน้ำตาไหลตอนเท้าเหยียบพื้นสนามบิน ฮือ อินเดีย มาถึงแล้วจริงๆนะจ้ะ
สนามบินที่นี่ดูดี ห้องน้ำสะอาดมาก คนยิ้มแย้มน่ารัก การเดินทางออกจากสนามบินเข้าตัวเมือง ที่นี่มีrickshawสีเหลืองน่ารักเยอะแยะมากมายให้เราขึ้นเข้าเมือง แต่เราก็เลือกใช้ Uber เพราะมีเคาเตอร์บริการเรียกรถให้ฟรี และไปจ่ายเงินที่คนขับ แถมยังตามคนขับให้เสร็จเลย แต่แล้วก็มีเหตุการณ์เกิดขึ้นระหว่างยืนรอรถ มีผู้ชายหน้าอินเดีย (ก็คนอินเดียป่ะ!) เดินตรงดิ่งเข้ามาแล้วถามว่า
“The car doesn’t come?!”
ด้วยความที่อ่านเรื่องราวของประเทศอินเดียมาเยอะ ฉันจะไม่คุยกับคนแปลกหน้าแน่นอน
“No Im ok! Thank you!”
และผู้ชายคนนี้ยังเซ้าซี้ต่อ
“Send me your paper I will call your Uber I am the guy who at the counter inside” คือเราก็สวนกลับไปทันที
“No I think you are not!” แล้วก็ลากเพื่อนๆถอยห่างจากชายคนนั้น นางทำหน้าโมโหมากก่อนจะเดินจากไป ก่อนที่เพื่อนจะเปิดบูมเมอแรงที่แอบถ่ายตอนเราคุยกับพนักงานที่เคาเตอร์Uber “เมิงงง คนเดียวกันว่ะ” โถวววว อย่างพัง โคตรสงสารเค้าเลย แต่คนอินเดียทำไมต้องหน้าเหมือนกันด้วย(ยังไปโทษเค้าอีก) อยากจะขอบคุณพี่แกเค้าจริงๆที่ยังอุตส่าเดินตามมาจากเคาเตอร์มาดูเรา จะร้องไห้ ยังไม่ทันได้ขอบคุณเลย หนูขอบคุณพี่จริงๆนะคะ แงงงงง
แผนเราวันนี้อันดับแรก เราจะต้องไปจองตั๋วรถไฟทั้งหมดสำหรับทริปนี้ที่ออฟฟิสก่อน ซึ่งออฟฟิสนี่เปิด 10 โมง แต่คนก็มาต่อคิวตั้งแต่ 8 โมงแล้ว ใกล้ๆ ก็จะมีตลาดให้เพลิดเพลินกับอาหารข้างทางมากมาย ไอเราก็แบบ ฉันจะไม่ท้องเสียวันแรกที่มาที่นี่หรอกนะ แต่…ก็อดใจไม่ไหว ขอถั่วสักกำมือหน่อยนะจ้ะเธอ เราก็เดินแบกเป้ 15 โล ช้อปปิ้งถั่ว ด้วยสายตาของคนอินเดียที่สนใจพวกเรามาก ก่อนจะกลับมายืนต่อคิวเพื่อเข้าไปซื้อตั๋วรถไฟ หลังจากออฟฟิสเปิด
เราใช้เวลา อีก 2 ชั่วโมงเพื่อรอคิวในออฟฟิสแห่งนี้ จึงได้เพื่อนใหม่นานาชาติมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ปากีสถาน บังกลาเดช เนปาล บอกเลยตอนนั้น ตูแยกไม่ออกเลยคิดว่าอินเดียหมด ถ้าไม่โชว์พาสปอร์ตเนี่ย ทุกคนช่วยเหลือเราเป็นอย่างดีในการกรอกแบบฟอร์มเพื่อซื้อตั๋วรถไฟ เพราะเราจะต้องถ่ายเอกสารพาสปอร์ตของพวกเราด้วย และใบจองที่ต้องเขียน 1 ใบ ต่อ 1 เที่ยว เราเดินทางทั้งหมด 5 เที่ยว เขียนกันมือหงิกเลย โชคดีที่ตรงข้ามออฟฟิส มีร้านถ่ายเอกสาร และพาร์ทของการเตรียมตัวข้างบนจะทำให้ขั้นตอนนี้ง่ายขึ้น เพราะเราต้องใส่ข้อมูล เลขขบวน สถานีที่ขึ้น และ ลง วันที่จะไป คลาสที่จะจอง ให้กับเจ้าหน้าที่ จะทำให้เค้าทำการเช็คที่ว่างให้เรารวดเร็ว และได้ขบวนที่เราต้องการจริงๆ แต่อาจจะไม่ใช่คลาสที่เราต้องการ เพราะ คลาสที่เป็นA/C Sleeper class เต็มหมดเลยในทริปเรา แต่โชคดีที่ยังเหลือ Non A/C Sleeper class หรือเตียงนอนไม่มีแอร์ให้เราได้อาศัยไปพาราณาสี คืนนี้ พอได้ตั๋วเสร็จครบถ้วน เราก็ออกเดินทางไปตลาดใจกลางเมือง Kolkata กันจ้า เพราะที่นี่มันมี KFC!!!!
รถแทกซี่ที่นี่หน้าตาน่ารัก เป็นรถเต่าสีเหลืองไร้แอร์ เปิดหน้าต่างโต้ลมให้เราได้สัมผัสบรรยากาศการบีบแตรที่แท้จริง คนที่นี่บีบแตรเหมือนคุยกัน โถวววเพลินแท้
พอมาถึง KFC เราก็สั่งเมนู ข้าว ซึ่งข้าวที่นี่คลุกเครื่องเทศมาด้วย และเป็นข้าวเม็ดเรียวๆ หน้าตามันดูแบบกินไม่ได้แน่เลย แต่ก็เห้ย! อร่อยว่ะ ฉันชอบ~ อร่อยจุงเบย กิน KFC เสร็จ เหมือนยังหิวอยู่ ไปต่อ Domino ที่อยู่ติดกัน ก็ถาด 6 ชิ้นคิดเป็นเงินไทย 100 บาท รู้สึกโคตรรวย 555555
พอกินเสร็จก็มาว่าด้วยเรื่องตลาด ตลาดที่นี่ก็ขายเสื้อผ้าเยอะมาก ถูกมากอีกด้วย พวกเราก็ช้อปปิ้งกันตั้งแต่วันแรกซะเล้ย ก็ชุดอินเดียมันตัวล่ะ 100 บาทไทยนะแก สรุป…มีชุดใส่ครบทุกเมือง แบกเสื้อผ้ามาจากไทยทำไมฟร่ะ!? เราตื่นตาตื่นใจกับของที่นี่มาก ทั้งเสื้อผ้าสไตล์อินเดียราคาถูก ทั้งอาหารที่กินได้ดีกว่าตอนกินอาหารอินเดียที่ไทย จึงทำให้เรากินและก็กินแบบไม่หยุดยั้งเลยจริงๆ 5555555 แต่ต้องเตือนสติตัวเอง ฮัลโหล วันนี้วันแรกเองนะแกกกกก เราเอาตัวเองออกไปจากที่นี่กันเถอะ


ซึ่งตอนนี้พอดูนาฬิกาก็อีก 4 ชั่วโมง กว่าเราจะได้ขึ้นรถไฟ ก็ขอไปดูลาดเราแถวสถานีรถไฟกันหน่อยดีกว่า เราก็นั่ง Rickshaw จาก city market ไปยัง Howrah Station สถานีรถไฟใหญ่มาก ฟีลหัวลำโพงเลย มีศูนย์อาหารห้องน้ำครบ แต่ตั้ง 4 ชั่วโมง ก็เลยขอเดินออกไปสำรวจรอบๆสถานี ซึ่งตรงข้ามมีท่าเรืออยู่ พวกเราก็แบกเป้ นั่งเรือข้ามฝากเล่นกัน ดูวิว สะพาน Howrah สะพานเหล็กที่ใหญ่มากๆ ตรงหน้า



และพอข้ามมาอีกฝากนึงของแม่น้ำ … คือไรเนี่ย?!! ยกนาฬิกาขึ้นดู ไม่เป็นไรเวลาเหลือ เรานั่งรถเมล์กลับสถานีรถไฟกันเถอะ โถวววว เมิงคิดไรกันอยู่ รถเมล์ขับสนุกมาก ตัวพวกตูนี่หมุนเป็นหนังอินเดียเลย 555555 นั่งแค่ 5 นาทีก็มาถึงล่ะ
เราก็เลยมาฆ่าเวลาที่ศูนย์อาหาร แล้วสั่ง Thali มันคืออาหารจานหลุมที่ใส่ Nan แล้วก็เมนี่แกงกะหรี่เลย แปลกที่มันอร่อยมาก กรี๊ด รักเลย อร่อยมาก
เรานั่งเล่นกันอยู่ตรงนั้นจนใกล้เวลาออก 30 นาทีก็ไปนั่งรอรถไฟที่ชานชลา และรถไฟที่ขบวนยาวมากๆก็มา ที่ตั๋วจะมีเลขโบกี้ของเราอยู่ให้ขึ้นตามโบกี้นั้นเลย
สภาพรถไฟก็เป็นอย่างที่คาดหวังไว้ ทั้งโบกี้นี้ก็มีแค่พวกเรานี่ล่ะต่างชาติ นั่งมองตาปิปๆกันสามคน
ที่นอนจะเป็นแบบสามชั้น ซึ่งชั้นที่สองพับเก็บได้ในช่วงตอนที่นั่งอยู่ ซึ่งเราตกลงกันว่า… คืนนี้เราจะนั่งหลับด้วยกันจนไปถึงพาราณสี เพราะเราทำใจนอนไม่ได้ ฝุ่นเต็มเตียงเหมือนไม่เคยมีการเช็ดมาหลายเดือนแล้ว5555 ในขณะที่ครอบครัวอินเดียข้างหน้าที่เว้าอังกฤษไม่ได้ ทยอยหลับไป
ในขณะที่พวกเรานั่งกึ่งหลับกึ่งตื่นกันทั้งคืน อยู่ดีในรุ่งเช้าก็ตื่นขึ้นมาพบว่าที่นั่งของเรามีบุคคลที่สี่มาด้วยพร้อมผ้านวมผืนใหญ่ เราก็โวยวาย “เฮ้ย ยูๆ มานั่งที่ไอได้ไงเนี่ย ไอนั่งเบียดกันอยู่แล้วสามคนนา” อีตาอินเดียคนนี้ก็ทำหน้ามึนแล้วส่ายหัวยักไหล่
แต่แล้วคุณป้าเตียงข้างหน้าเราก็อาละวาดใส่คนนั้นจนต้องลุกออกไป ป้าซึ่งมาจากครอบครัวที่เว้าอิงลิชไม่ได้หันมายิ้มให้ก่อนจะทำมือบอกให้นั่งให้เต็มเบาะนะยูวววว และไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนั้นครอบครัวนั้นก็ลงจากรถไฟ และมีกลุ่มป้ากลุ่มใหญ่มานั่งแทนที่ ก่อนจะตั้งวงนั่งร้องเพลงกันเป็นเรื่องเป็นราว 555555 สรุป พวกตูไม่ได้หลับ สนุกกันทั้งคืนเบยยยย ไม่เพียงแค่มีการแสดงที่ตื่นตาตื่นใจในยามเช้าให้เราชมเท่านั้น วิวข้างทางตอนเช้าก็น่ารักไม่แพ้กัน คนนับสิบคนต่างนั่งยองๆข้างทางอย่างไม่ได้แคร์กับรถไฟที่ขับผ่าน โอ้โห…โคตรดีใจที่ได้นั่งรถไฟขบวนนี้ เห็นคนนั่ง…ข้างทางแล้ว! 55555


13 ชั่วโมงผ่านไป รถไฟที่น่ารักของเราอยู่ดีๆก็จอดอยู่กับที่นานนับชั่วโมงทั้งๆที่อีก 2 สถานีเท่านั้นก็จะถึงแล้ว คนในรถไฟต่างพากันลงจากรถ ทิ้งไว้เพียงเราสามคนนั่งตาปิปๆ ไม่มีใครบนรถไฟที่เหลือสื่อสารกับเราได้เลย ตอนนั้นได้แต่ขำ …ประเทศนี้แมร่งอะไรหนักหนาว่ะเนี่ย55555
จนเราทนไม่ไหวแบกเป้ลงจากรถไฟซึ่งสูงมาก พอขาพวกเราเหยียบพื้นเท่านั้นล่ะ ปู้นๆ จะออกซะงั้น โถววววว คิดว่าเป็นวอนเดอร์วูแมนกัน นี่ต้องมาวิ่งโหนขึ้นรถไฟเหมือนในสารคดีอินเดียจริงๆหรอเนี่ย555555 สักพักเราก็ถึงพาราณสีสักที สรุปใช้เวลาไป 15 ชั่วโมง
วันที่ 2-3 Varanasi ดินแดนแม่น้ำคงคา
เราได้ใช้บริการของ Guesthouse ให้มารับเราที่สถานีรถไฟ ซึ่งเจ้าของ Guesthouse ก็มายืนรอเราอยู่แล้ว เราพักที่ Banaras Paying Guest House ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ Assi Ghats เดินไปแม่น้ำคงคาได้ ด้วยความที่หน้าเราแตกต่างจากคนพื้นที่ ทำให้เจ้าของNavyหาตัวเราได้ง่ายมาก จากนั้นนางก็พาเราขึ้นRickshaw จากสถานีและไปสู่โรงแรม โหยยย ได้อาบน้ำสักทีโว๊ะ
เราถึงโรงแรมอาบน้ำเสร็จก็เผลองีบไป ไอที่หิวอ่ะลืมไปหมดล่ะ ก่อนจะตื่นมาแล้วไปเดินเล่นริมแม่น้ำคงคา และหาของกิน
ย่านที่เราอยู่ใกล้ร้านRassi หรือ Yoghurt ชื่อดัง แต่นะฉันไปผิดร้าน ร้านดังๆอ่ะชื่อ Blue Rassi แต่ดันไปกิน Green Rassi กว่าจะรู้ตัวก็อยู่หน้าทัชมาฮาลล่ะว่าผิดร้าน 55555
ริมแม่น้ำตลอดทางบางคนก็อาบน้ำ ข้างๆก็นั่งซักผ้า บ้างก็ว่ายน้ำ ไอเราก็เดินชิลๆ แต่อีเพื่อนๆเรานี่ตืนเต้นความแม่น้ำคงคาจนขนาดต้องขอลงไปแช่ครึ่งตัวหน่อยแล้วล่ะ 55555

เราเดินเลาะริมแม่น้ำเรื่อยๆจนมาถึง Dashashwamedt Ghat ที่จะมีพิธีอารตรี ก็ได้เวลาพอดี คนเยอะมากทั้งบนบก
และในแม่น้ำที่รอดูพิธีศักสิทธินี่
พอเรานั่งดูเสร็จใกล้ๆกันมีรับจ้างเพ้นท์เฮนน่า เราเลยจัดกันคนละ 1 แขน ราคา 300รูปี
หลังจากนั้นก็เดินไปตลาดซึ่งมีของขายตลอดทาง ก็แวะเดินชอปปิ้งหาไรกินอีก ที่นี่ก็มีพวกกำไร สร้อย ต่างหูสวยมาก
และอีกรอบเห็นคนต่อคิวยาวต้องไปกินหน่อย Thali again 5555 ฉันหลงไหลในอาหารอินเดียไปได้อย่างไร

พอกินเสร็จก็นั่ง Rickshaw กลับโรงแรม เดินไม่ไหวแล้ว แต่Rickshaw ที่นั่งคราวนี้เป็น Bike Rickshaw คือเป็นแบบรถสามล้อบ้านเราอ่ะ แต่เด็กอ้วน 3 คนจะนั่งพร้อมกันไม่ได้ ยูวต้องยืนนะ ตอนแรกตกลงราคาไว้ที่ 200 รูปี พอไปถึงครึ่งทางหันมาบอก 500 รูปีนะจ้ะ อีนี่จ๋า จากที่อยากจะลงอยู่และเพราะโคตรน่ากลัวเลย (ไอการยืนบนรถสามล้อ บนถนนอินเดีย) ก็เลยบอกยูววว ไอไม่ไปต่อล่ะ ขอลงตรงนี้ล่ะจ่ายแค่ 200 นะ คนขับโมโหไม่ยอมจอดให้ลง ก็ 4 ทุ่มละนะ โคตรน่ากลัวอ่ะ อีนี่เลยต้องบอก 400 ก็ได้ ขอฉันลงเถอะ ขึ้นตุ๊กตุ๊กดีกว่า 555555 สรุปก็เลยได้ลง แล้วต่อตุ๊กตุ๊กกลับ โหยโคตรน่ากลัว

เช้าวันต่อมาเรามีนัดไปดูพระอาทิตย์ตอนเช้าตอนตี 5 ซึ่งให้ Navy หาคนพายเรือไว้ให้ โดยที่คนพายเรือที่ Navy นัดมา พูดอังกฤษไม่ได้เลยจ้า 555555 แต่ไม่เป็นไร เราจินตนาการเองก็ได้ คนพายพาเราไปถึง Ghats ทีมีการเผาศพ ซึ่งห้ามถ่ายรูปเพื่อเป็นการให้เกียรติผู้ตาย ก่อนจะวนกลับไปส่งเราที่ Assi Ghats
ถึงแม้ว่าคนพายเรือจะไม่ได้อธิบายอะไรเรามากมาย แต่มันก็ทำให้เพื่อนเราปลื้มปิติเมืองพาราณาสีนี้เป็นอย่างมากจนอยากจะมาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ซะทีเดียว (ป่าวหรอก หลงรักหนุ่มในเมืองนี้แน่นอน 55555)
พอล่องเรือเสร็จ ก็กลับมาหาไรกินแถวๆเก้สเฮ้าส์ มีคาเฟ่น่ารักอยู่ใกล้ๆ จัดไปเต็มที่เลย นานๆจะกินไรไม่มีเครื่องเทศ
พอกลับมา Navy ก็อ้าวยูวววว ทำไมไม่กินมายเบรคฟาส ที่ยูวจองมันรวมเบรคฟาสนะ เราก็กลัว Navy จะเสียใจก็เลยจัดมาชุดนึง ออมเลทกับชา เครื่องเทศเต็มคอ เหมือนใส่มาทั้งห่อ กินไม่ได้เลย แต่ต้องกินเพราะ Navy นั่งมองอยู่ 5555 สงสาร
หลังจากนั้นเราก็ Check out โดยที่ Navy เห็นว่าตั๋วรถไฟเราอีกนานกว่าจะได้ขึ้น เลยเปิดห้องอีกห้องนึงไว้ให้เราเวลากลับมาอาบน้ำ (น่ารักมากเลย)
ระหว่างรอเวลารถไฟเราก็ไปหาอะไรกินกันอีกรอบ เลยไปห้างนึงในพาราณสีที่มี Mc Donald 55555 อย่างน้อย เบอเกอร์ไก่ก็ไม่มีเครื่องเทศว่ะ
พอเสร็จแล้วก็กลับโรงแรม กล่าวลาโฮสที่น่ารัก แล้วนั่ง Uber ที่ Navy เรียกให้ไปสถานีรถไฟ เพื่อจะไปเมือง Agra พอไปถึง… ตารางรถไฟโชว์เลย Cancelled โหยๆๆ โคตรชอคอ่ะบอกตรง ตอนนั้นยืนเหวอแปปนึงก่อนจะเดินไปเคาเตอร์ เราสามารถรีฟันด์เงินคืนได้ ก่อนจะถาม ฮัลโหลรถไฟคันอื่นที่จะไปAgra มีอีกม้ายยย เจ้าหน้าที่ตอบทันที I don’t know I cant tell the exact time และนี่เป็นตั๋วเดียวในทริปที่ได้เป็น A/C sleeper นะเว้ยยย จะมา Cancelled แบบนี้ไม่ได้


หลังจากนั้นเราก็เลยเสริชหาวิธีไป Agra จาก พาราณาสีด้วยวิธีอื่น โชคดีที่มีรถบัสไป แต่ในระหว่างที่ยืนงงๆหาวิธีไปอยู่ เจ้าหน้าที่สถานีก็เดินมาหาจะไป Agra ใช่มั้ย มานี่ มานี่ นะยูววว เจ้าหน้าที่น่ารักคนนี้พาเราเดินเข้าไปในออฟฟิสของสถานี ก่อนจะคุยกับคนในนั้น แล้วบอกว่า รอแปปน้าเดี๋ยวให้คนมารับพาไปขึ้นรถบัสไป Agra 1500 รูปีนะยูววว (แม่มถูกกว่ารถไฟอีก 5555) ไปสิจ้ะจะรออะไร (ขอบคุณความห่วงใยของเจ้าหน้าที่ที่มีให้พวกเรา ขอบคุณค่า น้ำตาไหล)

พอมาถึงก็เจอเพื่อนร่วมชะตากรรมหลายเชื้อชาติ 55555 ก็ซื้อขบวนเดียวกันนี่นา ที่รอรถบัสจะมีร้านข้าวอยู่ เพื่อนเราบอกว่าอร่อยที่สุดในทริปนี้ล่ะ
พอรถมาได้เห็นข้างใน อยากจะฉีกตั๋วรถไฟที่เหลือทิ้ง คือสิ่งที่ได้มามันเป็นรถบัสที่ทำมาเป็นช่องนอน 2 คน เหยียดขาได้เลยในช่องนั้นมีทีวี โหยหลับสบายอ่ะ ถ้าเพื่อนเราไม่นอนกรน ตื่นมาอีกทีก็ถึงแล้ว เช้าอันสดใสที่ต้องขึ้น Rickshaw 400 รูปีเข้าเมือง
เสร็จจากทัชมาฮาลเราก็มาช้อปปิ้งข้างหน้าทางเข้า คนขายก็ฮาร์ดเซลล์ดเหลือเกิน จะหมดตัว ซื้อที่รองแก้วหินอ่อน พวกงกุญแจรูปทัชมาฮาล ก่อนจะไปนั่งกินข้าวและสั่งข้าวผัด อร่อยมากอ่ะ >___<
กินข้าวเสร็จเรานั่ง Rickshaw ไป Red Fort กันต่อ คนขับRickshaw รอบนี้เป็นหนุ่มวัย 19 นามว่าลัคกี้ (เพื่อนเราก็ไปแอ๊วเค้าสะงั้น เป็นไงจบทริปวันนี้ นางขอทิปเพิ่มเลย 555)
พอถึง Red fort ลัคกี้อาสานั่งรอหน้าป้อมปราการ ที่สวยงามตามท้องเรื่อง โคตรยิ่งใหญ่ตามสไตล์อินเดีย ข้างในเองก็สวยมาก เราชอบที่นี่มากกว่าทัชมาฮาลนิดนึง แต่ดันมาซะเย็นเลย เสียดายอยากใช้เวลาที่นี่มากกว่านี่
หลังจากนั้นเราก็กลับมาโรงแรมเพื่อจองรถแท็กซี่ไปสถานีรถไฟตอนตี 5 เพราะพรุ่งนี้เราจะไป Jaipur กันแล้วล่ะ คืนนี้ก็เลยต้องรีบนอน ตอนกลางคืนแถวทัชมาฮาลแอบบน่ากลัว ไม่ได้คึกคักเหมือนพาราณาสี จึงไม่ควรออกไปข้างนอก นอนในโรงแรมดีกว่า แต่คนแบบพวกเราก็ออกไง หิวอะไรก็ไม่รู้กันนักหนา จัดโรตีข้างๆโรงแรมมา อยากจะฟ้องสคบ.อินเดีย ทำมาไม่ได้เหมือนเมนูที่โชว์เลย 555555
ตื่นเช้ามาตี4 เราก็รีบแคะขี้ตามานั่งรอรถแทกซี่ที่โรงแรมจองให้ไปส่งที่สถานี
วันที่ 5-6 Jaipur เมืองสีชมพู
พอมาถึงก็ดันไปนั่งผิดชานชลา เพราะใกล้เวลาจะออกแล้วรถก็ยังไม่มา กว่าจะมารู้ก็ต้องวิ่งกันหน้าตั้ง แถมขึ้นผิดโบกี้ไปอีก รอบนี้เราได้เป็น A/C seat เป็นทีนั่งเฉยๆ เพราะเรานั่งกันแค่ 4 ชั่วโมงก็ถึงแล้ว แต่ดันมาขึ้นผิดโบกี้ แถมหลงกับเพื่อนอีก 55555 และอีโบกี้เนี่ยมันไม่เชื่อมกันด้วย เราเลยต้องรอให้ถึงสถานีถัดไปแล้ววิ่งไปให้ถึงโบกี้ของเรา ตาก็ยังไม่เปิดยังต้องมาวิ่งอีก
นั่งรถไฟครั้งนี้เราก็ได้เจอคนไทยนั่งอยู่ใกล้ๆกัน ช่างอุ่นใจยิ่งนัก 55555 หลับๆตื่นๆก็ถึงแล้วล่ะ
พอมาถึง Jaipur เมืองใหญ่กว่า 2 เมืองแรกที่ผ่านมา เพราะเค้ามีรถไฟฟ้า ดูเป็น City ฝุดๆ เราก็เรียก Rickshaw ที่เป็นรถตุ๊กตุ๊ก
คนขับเกิดขี้เกียจอะไรขึ้นมาไม่รู้ ให้เราขับเฉย 555555 โถววว ตอนนั้นนึกว่าจะไม่ได้กลับไทยแล้ว รถเอียงไปทางนึงไม่ตรงสักที
ที่นี่เราจองโรงแรม อยู่กลางเมืองพอสมควร เดินไป Mc donald กับ Domino ได้
เราอาบน้ำ แต่งตัวออกไป Hawa Mahal ด้วย Rickshaw แค่ 60 รูปี ด้วยความที่ไม่ได้ทำการบ้านมาดีพอ
พวกเราไม่รู้หรอกว่าไอกำแพงสีส้มๆชมพูๆอ่ะ มันอยู่ด้านนอก และก็ไม่รู้หรอกว่าเมืองนี้มันมีอะไรมากกว่า ไอกำแพงสีส้มๆที่ติดอยู่ฝาบ้าน 555555
ก็เลยได้เข้าไปข้างใน ถ่ายรูป ถ่ายรูป ปีนขึ้นไปข้างบน เห็นหมดเลย ที่แพลนไว้ 2 วัน ฉันว่าไม่พอล่ะ 555555
ทัวร์ข้างในเสร็จก็เดินออกมาถ่ายกำแพงกันสักหน่อย ก่อนถึงกำแพง ดันมีของกินขาย โอ้ย มันอร่อยมาก เหมือนทอดมันไม่รู้เรียกว่าอะไร คนขายขอถ่ายรูปด้วยอีก 55555 เซเลปมาก
พอถ่ายรูปเสร็จเราก็เรียกรถไป Nahargarh Fort จะไปดูพระอาทิตย์ตกอันเลื่องชื่อ ป่าวๆมะกี้เพิ่งเจอกลุ่มคนไทยเค้าบอกมาให้ไป 555555
แต่ Rickshaw บอก โอ้ยยูวรถไอขึ้นไม่ไหวหรอก ไป Amber Fort เถอะ ด้วยความที่ตอนนี้อะไรก็ได้ ก็เลยไปก็ได้ ระหว่างทางก็ดันไปเจอวังกลางน้ำ นามว่า Jal Mahal แถมมีให้แต่งตัวเป็นแหม่มบัลแกเลีย 200 รูปี อีเพื่อนก็บ้าจี้อยากแต่งก็เลยแต่งด้วย ก่อนจะพาตัวเองมาขึ้น Rickshaw คันเดิม แล้วไป Amber fort ต่อ
ทางไป Amber Fort ก็ขึ้นทางเขาเล็กๆน่ารัก แต่ป้อมปราการนี้มันอลังการมากๆ โหยเห็นแล้วน้ำตาไหล สวยอ่า ไม่น่ามาช้าเลย
เราลองจ้างไกด์ 300 รูปีพาทัวร์รอบวัง แบบว่าอยากเที่ยวอย่างมีความรู้ เค้าพาไปดูภาพลับในวัง และเล่าให้ฟังว่าที่นี่สนมเคยอยู่เยอะมากแบบ 250 คน กับพระราชาคนเดียว มีไกด์ถ่ายรูปให้ด้วย น่ารักมาก 300 รูปี คุ้ม ไปก็จ้างเค้าเถอะ 55555
ที่ Amber Fort พอมืดแล้วเค้าจะเปิดไฟสวยมาก แบบการแสดงแสงไฟ ฮือ ถ่ายรูปไม่ทัน ขึ้นรถตุ๊กตุ๊กมาแล้ว
วันต่อมามื้อเช้าของเราก็เป็นอาหารหน้าโรงแรม ไม่รู้ว่ามันเรียกว่าอะไร แต่ก็พอกินได้อยู่ 55555
ต่อมาด้วยความที่ไม่มีแพลนจะทำอะไร ก็เลยให้เพื่อนลงความเห็นว่าอยากทำอะไร อีกคนนึงอยากไป City Palace พอเช็คราคาด้วยความขี้งก เรากับเพื่อนอีกคนก็ พอเลย!ค่อยมาคราวหน้ากับเดอะแก้งค์ ส่วนเรา “กุอยากนั่งรถไฟฟ้าเล่น ชมเมืองอ่ะ ประหยัดดี55555” เพื่อนก็เลยตามใจ พาไปนั่งรถไฟฟ้าเล่น เราเลยเลือกสถานีที่ใกล้ที่สุดกับโรงแรมซึ่งอยู่ใน Pink City เราเลือกซื้อไปลงสถานีสุดท้าย เพราะอยากนั่งชมเมืองจริงๆ แต่พอนั่งมาจนสุด โหยยย แห้งแล้งจริงๆ ไม่รู้จะลงตรงไหนเลย 55555 ก็เลยกะจะวนกลับแบบใช้เหรียญเดิมเหมือนรถไฟบ้านเรา โถวววว ที่Jaipur ทำไม่ได้นะ เค้าให้หยอดคืน แล้วซื้อตั๋วใหม่ 55555 โดนจับกุมตัวเยี่ยงนักโทษ
ระหว่างทางนั่งครุ่นคิดว่าเราจะทำอะไรกันต่อดี เพื่อนอีกคนนึงพูดขึ้นมาว่า “วันนี้ไม่มี Fort หรอ?” เราจึงบอกว่า งั้นเราไป Fort กัน 555555 เราลงที่สถานีที่โผล่มา Pink City ก่อนจะนั่ง Rickshaw ไปที่ Nahargarh Fort แต่Rickshaw ก็ตอบตกลงง่ายดายไม่เหมือนเมื่อวาน ก็ใช่สินางพามาส่งทางที่เดินขึ้นไป Fort โหยแหงนคอมองขึ้นไป น้ำกี่แกลอนดี 555555 เราเดินขึ้นเขา 42°C นึกถึงคำน้าขึ้นมาเลย “ทำไมแกชอบไปเที่ยวแล้วทำตัวกลมกลืน” 55555 เราเดินไปร้องเพลงไป โหยโคตรเหนื่อย แต่ก็ดี วิวดี สวย>____< ระหว่างทางก็ไปเจอคนแอบบนั่งยอง+ยิ้มอีก คือพี่จะมาทำแบบนี้แล้วยิ้มให้น้องไม่ได้นะคะ น้องทำตัวไม่ถูก 5555555 ส่วนตัวเพื่อนเราอีคนร้องเรียกหา Fort ก็เดินคร่ำครวญตลอดทางให้ใครสักคนที่ขี่มอเตอร์ไซด์ผ่านรับมันที
สิ่งดีๆวันนี้พอเราขึ้นมาข้างใน Fort วันนี้เป็นวันมรดกโลก เราได้เข้าฟรี เย้ๆ อย่างน้อยเดินขึ้นมาเหนื่อยๆก็ได้เข้าฟรี ตามวันข้างล่างนี้เลยที่เข้าฟรี
ข้างในฟอร์ต
เราเดินสำรวจกันสักพักก็ต้องรีบกลับ เพราะวันนี้เรามีรถไฟไป Jodphur ก่อนขึ้นรถไปสถานีรถไฟก็จัด ไอศครีมหน้าปากซอยโรงแรมอร่อยมาก ใครเจอต้องไปโดนนะ ชื่อร้าน: PAPACREAM
วันที่ 7-8 Jodphur เมืองสีฟ้า แถมทะเลทรายมาด้วย
รถไฟออก 4 โมง พวกเราวิ่งหน้าตั้งเข้าชานชลา เพราะเค้ามีแอพนะ
https://itunes.apple.com/th/app/train-status/id551712942?mt=8
แอพนี้โหลดเลย เช็คสเตตัสรถไฟที่เราขึ้น จะได้ไม่ต้องหน้ามึนเหมือนเราอีก ว่ารถไฟจะทิ้งเรามั้ย 555555
รอบนี้เราได้รถไฟเป็น A/C sleeper แต่มันแค่ 6 ชั่วโมง และมันก็แค่ 4 โมงด้วย เลยหยิบคอมมาตอบเมลล์ลูกค้านั่งทำงานไปซะงั้น 5555555
มันว่าง~ แต่เนต Sim 2 Fly ระหว่างนั่งบนรถไฟจะดับๆติดๆ อย่าคาดหวังว่าจะนั่งดู Netfix จนจบเรื่อง หรือแค่ตอบเมลล์สักอันเลย
สักพักก็มีของบนรถไฟมาขาย มันเป็นข้าวผัดเหลืองๆ ไม่มีเนื้อสัตว์ เพื่อนเราประยุกต์ใส่ผงโรยข้าวของญี่ปุ่นที่ซื้อมาจากไทย
กินกับปุ้มปุ้ยปลาสามรส แบบโคตรอร่อยอ่ะ อันนี้ผ่าน ถือว่าเป็นมื้อดีๆมื้อนึงในอินเดีย
เรานั่งๆนอนๆจนถึง 4 ทุ่ม แสงสีก็เริ่มปรากฎที่หน้าต่าง ก่อนจะจอดที่สถานีแบบดูศิวิไลยมาก สีสันตื่นตาตื่นใจ
ออกมาจากสถานีรถไฟก็เรียก Rickshaw ไปส่งที่ เก้สเฮ้า ชื่อ Blue house ตามชื่อเลย เค้าทาสีฟ้าทั้งหลัง
ห้องของพวกเราก็ใหญ่เลยล่ะ รอบห้องเป็นภาพวาดสไตล์ฮินดูซึ่งเพื่อนเราชอบมาก และดูมันหลับสบาย
เพราะเมื่อคืนใน Jaipur อยู่ดีๆก็มานอนเบียดเราแล้วบอกกลัวผีอินเดีย 555555
เราตื่นมาแต่เช้าก็คิดว่าจะกินอาหารเช้าที่โรงแรม แต่เนื่องจากเพื่อนเราคนนึงไม่กินผัก และอาหารก็เป็นมังสวิรัต ก็เลยต้องไปกิน Mc Donald เพราะที่นี่ไม่มี KFC ก่อนออกจากโรงแรมก็ถามว่า พวกยูวมีแพลนจะไปไหนกันบ้าง ซื้อทัวร์กับเรามั้ยจ้ะ… อีเราก็ถาม ยูวมีทัวร์อะไร นางก็อธิบายให้ฟัง แต่เพื่อนเราตื่นเต้นกับทริปขี่อูฐที่ทะเลทราย ดูพระอาทิตย์ตกมาก จ่ายสดราคา 2000 รูปี (ห่าน! ราคาเท่า City palace) ด้วยกลัวว่าเงินสดที่เหลืออยู่จะไม่พอประทังชีวิตจึงขอจ่ายบัตรได้ม้าย โรงแรมก็มีออฟเฟอร์ให้ แต่ชาร์จนะยูว เป็น 1400 บาทไทย ตกลงกันเรียบร้อยรถจะมารับสี่โมงจ้า อยู่ดีๆก็ได้ไปขี่อูฐเฉย (อันนี้ไม่ได้เป็นแพลนอยู่ในหัว ไม่ชอบเวลาเห็นสัตว์โดนล่าม หรือตีเป็นคนเซนซิทีฟ5555)
ก่อนไปขึ้น Rickshaw เพื่อนเรามันขอตัวไปซื้อน้ำ ซึ่งร้านขายของชำเยอะมากแถวโรงแรม เพราะมันคือตลาดขายเสื้อผ้า ความอเมซิ่งของเพื่อนเรา คือ พูดไทยกับคนขาย
“ป้าๆขอเป็ปซี่ขวดนึง”
“Ok”
“เท่าไร่อ่ะ”
“20 Rupee”
คือคุยรู้เรื่องตอบโต้กันแบบไม่มี barrier 55555 และอีเพื่อน…มุงเหมือนคนจีนที่ภูเก็ตมากอ่ะ

เรากิน Mc Donald เสร็จก็เสริชหาร้านของกินต่อ ใน Tripadvisor บอกยูววว ที่ตลาดมีร้าน Omelet shop ก็เลยเดินไป
คนขายเฟรนลี่มาก >____< บอกว่าพวกเราเป็นคนไทยกลุ่มที่ 2 ที่มากินร้านนางนะเนี่ย ดีใจมากเลย ของเค้าดีจริง อร่อยมากอ่ะ…
หลังจากนั้นเราก็ถามเค้าเกี่ยวกับเรื่อง Blue city คือเราเดินไปได้มั้ย …
นางก็บอกเดินได้ง่ายนิดเดียว 30 นาทีถึง ตรงไปเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวา เลี้ยวซ้าย ตรง แล้วก็เลี้ยวๆ บลาๆๆๆ
คือบอกเลยที่นี่เดินหลงง่ายมากกกก เป็นตรอกซอกซอยเล็กๆ เพราะไปตามทางที่ Omelet man บอกก็หลงแถมความโชคดีก็ยังจะมาเจอกันอีก 55555 นางบอกมาเดินอะไรแถวนี้ เดินไปทางนั้นสิ อีกนิดเดียวก็ถึงแล้ว ไอมาซื้อเครื่องเทศทำไข่เจียวอยู่ 555555 พวกเราก็แบบ โนววไอไม่เดินแล้ว ขอตุ๊กตุ๊ก พลีส สุดท้ายก็ได้นั่งตุ๊กๆ
เดินหลงไปเรื่อย
มันเป็นโซนเล็กๆที่ตัวตึกทาสีฟ้าสดใส แต่งรูปหน่อยก็จะสดกว่านี้ 555555
เมืองที่เราจะไปต่อจากนี้ชื่อ Osian ห่างจาก Jodphur ประมาณ 30 นาที จริงๆแล้ว แต่ด้วยความเพื่อนเรา
ฉันชอบวัดฮินดูมาก แล้วคนขับก็เป็นฮินดีอยู่แล้ว ก็เลยยินดีพาเพื่อนเราไปดูวัดฮินดีที่ใหญ่มาก จากข้างบนเห็นวิวทะเลทรายเลย
ระหว่างทางคนขับก็พาแวะอีก อยู่ดีๆก็อยากกินชาซะงั้น 55555 ก็เลยแวะกินชาข้างทาง มันดีมาก ชาใส่ขิง

และแล้วเราก็ถึง Camel camp เราต้องนั่งบนหลังอูฐเดินผ่านทะเลทรายไปเรื่อยๆจนถึงแคมป์และกินข้าวเย็น พอมืดแล้วก็จะพาเราขี่อูฐชมดาวต่อ

เราโดนขึ้นไปนั่งคนแรก บอกตรงๆเกลียดตอนอูฐลุกขึ้นมาก อุตส่าแบกกล้องมา แรงถือกล้องหายไปกับการเกรงอยู่กับที่จับล่ะ 55555 ต้องมาคุยกับนางตลอดทางด้วย (คุยกับอูฐอ่ะ) สร้างความคุ้นเคยกับเพื่อนร่วมทาง ทางเดินก็ไม่ได้แบบเรียบๆอย่างเดียว มีเนิน มีหลุม 5555555
พอลงจากอูฐก็เสริฟชาที่อร่อยมาก ขอหลายจอกอ่ะ คนจูงอูฐทำแคมป์นี้เองและอาศัยอยู่กับครอบครัวที่แคมป์
แบบลูกเยอะมาก น่ารักมากด้วย คุยกันไม่รู้เรื่อง 55555
อาหารเย็นวันนี้ที่อยู่ในแพคเกจ ก็คืออาหารบ้านๆที่ครอบครัวนี้ทำให้กินนั่นล่ะ คือมันอร่อยที่สุดในทริปนี้ล่ะ เป็นอาหารมังสวิรัตที่อร่อยมาก
อีเพื่อนที่ไม่กินผักก็ต้องกินเพื่อความสัมพันธ์ทางการทูต55555
เค้าเอาอีต้นที่อูฐกินมาผัดให้เรากินนั่นล่ะ แต่มันดีมากอ่ะ อร่อย~ และคิดว่าสะอาดที่สุดในทริปนี้ล่ะ
เราร่ำลาครอบครัวนี้ ก่อนจะเดินกลับผ่าทะเลทรายท่ามกลางความมืด… คือกรูไม่ขึ้นอีกแล้วจ้า 5555 ยอมเดินเท้า เหลือเพื่อนเราคนเดียวที่ยอมนั่งกลับเป็นราชา ที่เหลือเป็นบ่าวไป กว่าจะไปถึงรถก็เดินเหยียบขี้อูฐไปเยอะอยู่ เดินไปขี้ไปคืออะไร สงสารฉันบ้าง
ระหว่างทางกลับเราก็เปิดเพลงไทยให้ Raj ฟัง นางก็บอกเพราะดี อ่อ เปิดเพลงพี่ตูนล่ะ555555 นางมาส่งเราที่ร้านอาหารหนึ่ง ซึ่งบนรูฟทอป เห็นตัวปราสาท Mehrangarh fort ได้ชัด และข้าวผัดอร่อยมากกกกจริงๆ
ค่ำคืนนี้เราแอบเมากันเล็กน้อยก่อนจะเรียก Rickshaw กลับโรงแรมราคา 150 รูปี เพื่อนเราต่อเหลือ 100 นางบอกนี่มืดแล้ว 100 ไม่ได้หรอก อีเพื่อนเราก็ภาษาไทยใส่ 5555 “แบบนี้ก็ได้หรอ” แต่ก็ต้องยอม มึนๆอยู่กลับเถอะ
เช้าวันต่อมาเราไปกินข้าวเช้าที่ Omelet Shop อีกครั้งพร้อมกับให้เค้าช่วยเรียก Rickshaw ไป Mehrangarh fort
ซึ่งตั้งอยู่บนเขาที่คนเห็นกันทั้งเมือง

ระหว่างทางขึ้นก็ดี เราจะเห็นว่า Jodphur เป็นสีฟ้าก็ตอนเราขึ้นมาบนนี้ล่ะ Fort นี้ก็อลังการ งานสร้างอีกตามเคย ชอบประเทศนี้มากจริงๆ (พิมพ์แล้วใจยังสั่น) ปร้อมปราการบนเขาแห่งนี้ใหญ่มาก เดินเพลิน แถมมี Guide Audio แถมมาให้กับค่าเข้าด้วย เดินฟังไปเรื่อยๆตามป้าย ก็จะเล่าให้ฟังเรื่องราวของที่นี่
ระหว่างทางก็เจอคนเยอะแยะ ดีใจที่เค้ารู้ว่าเราเป็นคนไทย ทักกันใหญ่ “I like Pattaya so much” 555555 คนอินเดียน่ารัก~
เราเดินจนรอบปราสาทก่อนจะนั่งรถกลับโรงแรม แถวๆโรงแรมซึ่งเป็นตลาดผ้าคล้ายๆพาหุรัด
ก็เลยจัดชุดอินเดียกลับมาฝากเพื่อนๆที่ไทย (มัน 50 บาทเองนะแก)
คึกคักวุ่นวายตามภาษาอินเดีย
ไหนๆก็ใกล้จะกลับ ก็ขอจัดอาหารทุกอย่งข้างถนนเลยละกัน 55555
และเราก็เช็คเอ้าท์จากโรงแรมเพื่อเดินทางไปสถานีรถไฟ … ใกล้กลับบ้านแล้ว
วันที่ 9 New Delhi สนามบินที่อย่าลืมปริ้น e-ticket
รอบนี้เราได้นั่งรถไฟ Non A/C Sleeper class แต่รอบนี้เราไม่นั่งล่ะ เราจะนอน~
เพื่อนต้วมเตี้ยมตัวน้อยของเราปีนขึ้นไปนอนฉันบนสุดก่อนคนแรก
ในขณะที่เรากับเพื่อนอีกคนนั่งคุยกับหนุ่มวิศวะอินเดีย (เพื่อนเราก็แอ้วเค้าอีกตามเคย) ระหว่างที่นางแอ้วกันอยู่
อยู่ดีๆก็ชวนไปเคี้ยวมากกันหน้าห้องน้ำซะงั้น ปล่อยเรานั่งรออยู่คนเดียว อยู่ดีๆก็มีคนอินเดียมานั่งข้างๆแบบประชิดเลย
แล้วบอกว่า “ขอถ่ายรูปด้วยหน่อย” ห่าน!ตกใจ ก่อนนางจะยกมือถือขึ้นมาเซลฟี่ พอเพื่อนเราเดินมาก็วิ่งไปที่อื่นเลย …อะไรก็เกิดขึ้นได้ที่อินเดีย 5555
สักพักเราก็ปูเตียงล่ะก็นอนกัน หลับสบายมาก ตื่นมาก็จะถึง New Delhi แล้ว เราและเพื่อนๆ กับหนุ่มวิศวะอินเดียลงพร้อมกัน
ก่อนที่เพื่อนเราจะขอเฟสบุ้คเค้า และเดินแยกกันไป
เราสามคนยืนตรงดง Rickshaw เพราะเอาเข้าจริงๆไม่มีแพลนว่าจะทำอะไรนอกจากอยากไปห้างซื้อของกลับบ้าน เพื่อนเราก็เสนอ
ไปหาที่วางกระเป๋า อาบน้ำกันมั้ย ถูกๆ เราเสริชหาใน booking ก็ยังไม่เจอราคาที่พึงพอใจ เลยโบกรถไปย่าน downtown ก่อน คนขับรถซึ่งเป็นคนเนปาลก็บอกว่า “ยูวเคยไปเนปาลยัง” เราก็บอกเค้าว่ายัง เท่านั้นล่ะก็เล่านู่นนี่ให้ฟัง แล้วบอกว่า “เนปาลถูกกว่าอินเดียอีกนะจะบอกให้” เพื่อนๆรวมถึงเรานี่ตกลงกันเลย ประเทศต่อไป “Nepal!” 555555 ใจง่ายกันไปป่ะวะ ด้วยความที่คุยกันจนซี้กับคนขับ เลยบอกเค้าว่าหาโรงแรมกากๆอยู่ซัก 500 รูปีใกล้สถานีรถไฟ ไว้วางกระเป๋ากับอาบน้ำ นางก็หามาให้เราได้ และพามาส่งเราถึงที่~
ห้องก็ตามราคาเลยมีห้องน้ำก็ดีแค่ไหนล่ะ ตามภาษาคนทำงาน(เหมือนไม่มีวันหยุด555) ระหว่างรอเพื่อนอาบน้ำก็ออกไปนั่งตรงระเบียงทำรีพอร์ทสักหน่อยว่าไปเที่ยวแล้วเป็นยังไง … ไม่ใช่สิ5555
ก็เห็นคนเดินกันพลุกพล่านดี คึกคักไปหมด อากาศก็แอบเย็น 23°C (มันหลอก ตอนกลางวันก็ร้อนล่ะ)
พออาบน้ำกันเสร็จเราก็แวะจิบชาหน้าโรงแรมที่เป็นรถเข็น คือดีมาก รักเธอชาใส่ขิง ปกติไม่กินนะเนี่ย
และน้ำมะนาวที่น่าจะแอบใส่ไข่ขาวด้วย ไม่ผ่านอย่างแรง
จากโรงแรมเดินไปสถานีรถไฟแค่ 5 นาทีเท่านั้น ไลน์รถไฟที่นี่ก็อลังการงานสร้างไปอีก
ด้วยความที่ไม่ได้ทำการบ้านมาเลย จิ้มไปมั่ว5555 ไป Green Park ละกัน ชื่อดูมีอะไร
รถไฟที่นี่แน่นเลย 8 วันที่อยู่อินเดียมายังไม่เคยเจอกลิ่นที่เราพบเจอในประเทศไทย แต่เรามาเจอที่นี่นั่นเอง ในรถไฟแห่งเดลี
เราต้องเปลี่ยนไลน์ที่สถานีนึง สถานีใหญ่มากคนพุกผ่าน ระหว่างทางเดินไปเปลี่ยนไลน์ดันมี Burger king ขอแวะกินหน่อย 5555
นอกจาก Burger King ยังมีไอเจ้า Momo แม่มมมม อร่อยมาก น้ำตาไหล ใครมาอินเดียต้องกิน
มุงมาอยู่อินเดียได้ไง หน้าตามันเซี้ยงไห้มาก55555
พอกินกันเสร็จแล้วพวกเราก็เดินทางต่อเพื่อไปซื้อ Hilamaya กลับบ้านกัน (มันใช้ดีมากๆ) แทบจะเหมาหมดร้านเพื่อนเราน่ะ
ซื้อฮิมาลายาเสร็จ ก็ขอไปห้างอินเดียแบบดีๆหน่อยล่ะกัน เราก็เลยไป… ห้างใหญ่อารมณ์ Mega Bangna บ้านเรา นี่ก็เดินกินติม ก่อนจะไปถึง Supermarket กวาดขนมอินเดีย มาม่าอินเดีย ชอคโกแล็ตอินเดียไปให้คนที่บ้าน
เลย์มะเขือเทศมันดีมาก ห่อสีชมพู
ที่นี่เค้าไม่ใช้ถุงพลาสติกกันจะเป็นถุงผ้าให้น่ารักมาก เราแบกของกลับโรงแรมโดยขึ้นรถไฟ ก่อนจะเดินแบกสัมภาระทุกอย่างกลับโรงแรม อีที่แบกมาก็เยอะอยู่แล้ว ยังมีของแบกกลับอีก 555555
เรานั่ง Airport Express ซึ่งตรงไปถึงสนามบินเลยราคาก็ถูกมากจนจำไม่ได้ ตกอยู่ที่ 30 บาทต่อคน สภาพรถไฟดีมาก
พอไปถึงสนามบิน ความน่าลำใยของที่นี่… คนที่ไม่มีe-ticket กับ Passport เข้า Departure gate ไม่ได้นะโว้ยยย คนจะไปส่งญาติก็จะมายืนเกาะตรงประตู ไอนี่ไม่มีใครมาส่งก็จะร้องไห้ตาม แต่ที่น่าร้องไห้กว่า เค้าไม่ให้ฉันเข้า เพราะไม่ได้ ปริ้นท์ e-ticket เราเลยหาอีเมลล์ที่ส่งมาจาก Spice jet ให้ทางเจ้าหน้าที่ดู ยัง…ยังไม่พอ ไปCounter Check-in ไม่ยอมให้ check-in ขอดู e-ticket ที่ปริ้นมาด้วย ด้วยความที่แบบ…อะไรของพวกเมิง ก็เลยแอบเหวี่ยงไปนิดหน่อย ใครจะไปอินเดีย ก็ปริ้นท์ e-ticket มากันด้วยนะคะ
ทริปนี้ก็จบลงด้วยดี ใช้เวลาบิน 4 ชั่วโมงจาก เดลีถึงกรุงเทพ
ขอบคุณเพื่อนๆแก้งค์รูปีที่ยอมไปลำบากเป็นเพื่อน ไว้ไปด้วยกันอีกนะยูวววววว